WGSN เผย 7 อันดับเทรนด์ความงามในประเทศไทย ส่งผลตลาดความงามโต 5.4%
จากสถิติของเว็บไซต์สำรวจและวิจัยตลาด Statista ระบุกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงาม สุขภาพ ครัวเรือน และการดูแลส่วนบุคคล ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีมูลค่าถึง 18.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตในอัตรา 16% ต่อปีในช่วงปี 2565-2569 ส่วนตลาดความงามในประเทศไทยมีมูลค่า 5.42 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ ปี 2565 และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) 5.4% ในช่วงปี 2565-2569
ขณะที่ผลการวิจัยเชิงลึกของ WGSN (World Global Style Network) ได้คาดการณ์แนวโน้มของผู้บริโภคในช่วง 18-24 เดือนที่มีความแม่นยำกว่า 90% เปิดเผยรายงานการวิเคราะห์การจัดอันดับเทรนด์ด้านความงามในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบว่า สุขภาพ เป็นสิ่งที่ทุกประเทศในเอเชียต่างให้ความสำคัญ โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับความปลอดภัยและความเป็นของแท้ของผลิตภัณฑ์ เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีสินค้าลอกเลียนแบบและกระบวนการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐานก่อให้เกิดปัญหาที่เป็นอันตราย
สำหรับประเทศไทยให้ความสำคัญกับสุขภาพผิวเป็นอันดับแรก เนื่องจากผู้บริโภคหันมาสนใจเวชสำอางที่มีส่วนผสมของสมุนไพรที่สะอาด และเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ ผู้บริโภคชาวไทยยังกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์และให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่มีนวัตกรรมที่น่าเชื่อถือ และมีจริยธรรม
"สุขภาพ เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญอันดับแรกของผู้บริโภคชาวไทย การสร้างสูตรที่สะอาดและปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแบรนด์ความงาม ซึ่งควรให้ความสำคัญกับกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับและความโปร่งใสเป็นกลยุทธ์หลัก เนื่องจากผู้บริโภคชาวไทยคาดหวังว่าจะได้เห็นความโปร่งใสในการจัดหาผลิตภัณฑ์และประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์" คริสติน ชัว นักวิเคราะห์ด้านความงามของ WGSN กล่าว
WGSN เผย 7 อันดับเทรนด์ความงามที่คนไทยให้ความสำคัญสูงสุด ได้แก่
1) การตรวจสอบย้อนกลับและความโปร่งใส: อย่างที่กล่าวไปว่าสุขภาพคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้บริโภคชาวไทย สูตรผลิตภัณฑ์ที่สะอาดและปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกัน การศึกษาก็มีความสำคัญเช่นกัน ผู้บริโภคชาวไทยพยายามเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับส่วนผสมต่างๆ มากขึ้น เนื่องจากใน 70% ของผู้บริโภคชาวไทย มีความรู้เกี่ยวกับส่วนผสมสำคัญ เพียง 3 ใน 10 อย่างเท่านั้น และหวังว่าผู้ค้าปลีกจะเข้ามาช่วยเติมเต็มช่องว่างทางความรู้นี้
2) ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เน้นวิทยาการทางวิทยาศาสตร์: แบรนด์ความงามที่ได้รับการสนับสนุนจากแพทย์ผิวหนังจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากความเชี่ยวชาญและการสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ นอกจาก สูตรผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอดแล้ว ส่วนผสมจากนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ก็เริ่มได้รับกระแสความนิยมเพิ่มขึ้น
3) การดูแลความงามแบบองค์รวม: กลุ่มผู้บริโภคชาวไทยที่เพิ่มมากขึ้นยังคงแสวงหาการดูแลความงามตั้งแต่หัวจรดเท้าและผลิตภัณฑ์ดูแลตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ดูแลหนังศีรษะที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผมร่วงเป็นปัญหาด้านความงามที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของผู้บริโภคชาวไทย
4) ผลิตภัณฑ์และบริการด้านสุขภาพ: ระดับความเครียดและความเหนื่อยล้าที่เพิ่มสูงขึ้นผลักดันให้ผลิตภัณฑ์และบริการด้านสุขภาพเป็นที่ต้องการของตลาด ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล เช่น น้ำมันนวด แช่เท้า เทียนหอม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและร่างกายผสมอโรมาเธอราพี ได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย ในขณะที่ การใช้จ่ายเพื่อ ทรีตเมนต์แบบมืออาชีพ สปา และการพักผ่อนเพื่อสุขภาพก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
5) ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้ทุกเพศและผลิตภัณฑ์สำหรับเพศใดเพศหนึ่ง: ผู้ชายไทยกำลังพัฒนาความต้องการทางสินค้าและบริการด้านความงามที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่องและซับซ้อนขึ้น ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้ทุกเพศคาดว่าจะได้รับความนิยมสูงขึ้น ผู้บริโภคที่มีความรู้ในผลิตภัณฑ์ต่างกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าสูตรเฉพาะที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้อย่างตรงจุดมากกว่าการมองหาสินค้าสำหรับเพศใดเพศหนึ่ง นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นเสมือนบ้านสำหรับชุมชนคนข้ามเพศจำนวนมาก ผลิตภัณฑ์สำหรับปัญหาผิวขาดน้ำและผมร่วงซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในการบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทนจึงเป็นที่ต้องการและเปิดโอกาสให้แบรนด์และผู้ค้าปลีกก้าวเข้ามาเติมเต็มตลาดที่ยังขาดแคลนผลิตภัณฑ์ในส่วนนี้อยู่
6) การทดลองซื้อ: จำนวนผู้มีเงินจับจ่ายใช้สอย และการใช้ช่องทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสนใจในนวัตกรรมเพิ่มขึ้น โดยผู้บริโภคชาวไทยร้อยละ 81 วางแผนที่จะใช้จ่ายมากขึ้นหรือเท่าเดิมกับความงาม โดยเฉพาะแบรนด์ใหม่ๆ ที่ได้รับคำวิจารณ์ที่ดี นอกจากนี้ แบรนด์ในประเทศยังใช้ประโยชน์จากความภูมิใจในอัตลักษณ์ของประเทศ โดยใช้ศิลปะ อาหาร และมรดกไทยเป็นแรงบันดาลใจให้กับการสร้างและออกแบบผลิตภัณฑ์
7) การคำนึงถึงชุมชน: ผู้บริโภคชาวไทยที่มีสำนึกต่างมองหาแบรนด์ที่เติมเต็มความเชื่อในสังคมที่ดีกว่าวันนี้และวันวาน (Protpian) เพื่อสร้างประโยชน์ต่อผู้อื่นและโลกใบนี้ รวมถึงตัวพวกเขาเอง ตัวอย่างเช่น แบรนด์ความงามจากฟาร์มสู่ผิว (farm to face) แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่ใช้ทุกส่วนของมะรุม ทั้งใบ กิ่ง และเมล็ด โดยไม่ทิ้งส่วนใดไว้เป็นขยะ มะรุมได้รับการเก็บเกี่ยวแบบออร์แกนิกเป็นชุดเล็กๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ดินทำงานหนักจนเกินไป และช่วยให้เกิดการค้าที่เป็นธรรมสำหรับครอบครัวของคนในท้องถิ่นที่แบรนด์เป็นพันธมิตรด้วย
2) ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เน้นวิทยาการทางวิทยาศาสตร์: แบรนด์ความงามที่ได้รับการสนับสนุนจากแพทย์ผิวหนังจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากความเชี่ยวชาญและการสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ นอกจาก สูตรผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอดแล้ว ส่วนผสมจากนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ก็เริ่มได้รับกระแสความนิยมเพิ่มขึ้น
3) การดูแลความงามแบบองค์รวม: กลุ่มผู้บริโภคชาวไทยที่เพิ่มมากขึ้นยังคงแสวงหาการดูแลความงามตั้งแต่หัวจรดเท้าและผลิตภัณฑ์ดูแลตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ดูแลหนังศีรษะที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผมร่วงเป็นปัญหาด้านความงามที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของผู้บริโภคชาวไทย
4) ผลิตภัณฑ์และบริการด้านสุขภาพ: ระดับความเครียดและความเหนื่อยล้าที่เพิ่มสูงขึ้นผลักดันให้ผลิตภัณฑ์และบริการด้านสุขภาพเป็นที่ต้องการของตลาด ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล เช่น น้ำมันนวด แช่เท้า เทียนหอม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและร่างกายผสมอโรมาเธอราพี ได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย ในขณะที่ การใช้จ่ายเพื่อ ทรีตเมนต์แบบมืออาชีพ สปา และการพักผ่อนเพื่อสุขภาพก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
5) ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้ทุกเพศและผลิตภัณฑ์สำหรับเพศใดเพศหนึ่ง: ผู้ชายไทยกำลังพัฒนาความต้องการทางสินค้าและบริการด้านความงามที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่องและซับซ้อนขึ้น ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้ทุกเพศคาดว่าจะได้รับความนิยมสูงขึ้น ผู้บริโภคที่มีความรู้ในผลิตภัณฑ์ต่างกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าสูตรเฉพาะที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้อย่างตรงจุดมากกว่าการมองหาสินค้าสำหรับเพศใดเพศหนึ่ง นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นเสมือนบ้านสำหรับชุมชนคนข้ามเพศจำนวนมาก ผลิตภัณฑ์สำหรับปัญหาผิวขาดน้ำและผมร่วงซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในการบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทนจึงเป็นที่ต้องการและเปิดโอกาสให้แบรนด์และผู้ค้าปลีกก้าวเข้ามาเติมเต็มตลาดที่ยังขาดแคลนผลิตภัณฑ์ในส่วนนี้อยู่
6) การทดลองซื้อ: จำนวนผู้มีเงินจับจ่ายใช้สอย และการใช้ช่องทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสนใจในนวัตกรรมเพิ่มขึ้น โดยผู้บริโภคชาวไทยร้อยละ 81 วางแผนที่จะใช้จ่ายมากขึ้นหรือเท่าเดิมกับความงาม โดยเฉพาะแบรนด์ใหม่ๆ ที่ได้รับคำวิจารณ์ที่ดี นอกจากนี้ แบรนด์ในประเทศยังใช้ประโยชน์จากความภูมิใจในอัตลักษณ์ของประเทศ โดยใช้ศิลปะ อาหาร และมรดกไทยเป็นแรงบันดาลใจให้กับการสร้างและออกแบบผลิตภัณฑ์
7) การคำนึงถึงชุมชน: ผู้บริโภคชาวไทยที่มีสำนึกต่างมองหาแบรนด์ที่เติมเต็มความเชื่อในสังคมที่ดีกว่าวันนี้และวันวาน (Protpian) เพื่อสร้างประโยชน์ต่อผู้อื่นและโลกใบนี้ รวมถึงตัวพวกเขาเอง ตัวอย่างเช่น แบรนด์ความงามจากฟาร์มสู่ผิว (farm to face) แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่ใช้ทุกส่วนของมะรุม ทั้งใบ กิ่ง และเมล็ด โดยไม่ทิ้งส่วนใดไว้เป็นขยะ มะรุมได้รับการเก็บเกี่ยวแบบออร์แกนิกเป็นชุดเล็กๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ดินทำงานหนักจนเกินไป และช่วยให้เกิดการค้าที่เป็นธรรมสำหรับครอบครัวของคนในท้องถิ่นที่แบรนด์เป็นพันธมิตรด้วย
โซเชียลมีเดียและอีคอมเมิร์ซได้เปลี่ยนแปลงวิถีของผู้บริโภคชาวไทยกับการค้นพบแบรนด์และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ไปอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ ด้วยจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย ผลิตภัณฑ์ประเภทลดริ้วรอย (anti-aging) จึงเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับแบรนด์และผู้ค้าปลีก ในขณะเดียวกัน ครีมและโลชั่นกันแดดยังคงเป็นที่นิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเขตร้อนที่ต้องเผชิญกับอากาศร้อนตลอดทั้งปี
No comments